top of page
Writer's pictureNutthaplus Chaleowong

จาก Big Data สู่ Big Profit - ไอเดียการใช้ Data-Driven Marketing ในปี 2025


data-driven marketing

ในยุคปัจจุบัน การตลาดได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ จากการพึ่งพาสัญชาตญาณและประสบการณ์ส่วนตัว มาเป็นการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Marketing) อย่างเต็มตัว ซึ่งจากในอดีต นักการตลาดมักใช้วิธีการโฆษณาแบบกว้างเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด แต่ปัจจุบัน เทคโนโลยีดิจิทัลได้เปลี่ยนแปลงวิธีการทำการตลาดไปอย่างสิ้นเชิง


ข้อมูลกลายเป็นหัวใจสำคัญในการวางกลยุทธ์ทางการตลาด นักการตลาดสามารถเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างละเอียด ซึ่งช่วยให้เข้าใจกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น และสามารถสร้างแคมเปญที่ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนวัดผลได้แม่นยำและปรับปรุงกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นที่มาของเนื้อหาบทความในวันนี้ที่เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ Data-Driven Marketing และเรียนรู้วิธีที่จะนำเอาเอาไปใช้ได้จริง


 

ทำความเข้าใจ Data-Driven Marketing คืออะไร?


what is data-driven marketing

Data-Driven Marketing คือ กลยุทธ์การตลาดที่ใช้ข้อมูลเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจและวางแผน โดยใช้ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ มาวิเคราะห์เพื่อเข้าใจพฤติกรรม ความต้องการ และลักษณะของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ข้อมูลจะถูกนำมาใช้ในทุกขั้นตอนของกระบวนการทางการตลาด ตั้งแต่การวางแผนกลยุทธ์จนถึงการวัดผล ซึ่งช่วยให้การตัดสินใจทางการตลาดมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอิงจากข้อมูลจริงแทนที่จะเป็นเพียงประสบการณ์ หรือความคิดเห็นส่วนตัว


กลยุทธ์นี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งการตลาดออนไลน์และออฟไลน์ ทำให้สามารถเข้าใจ Customer Journey / Marketing Funnel ได้ดีขึ้น สุดท้ายนี้เป้าหมายคือการเพิ่ม Conversion Rate หรืออัตราส่วนระหว่างยอดจำหน่ายสินค้าตามจริงเมื่อเทียบกับยอดเข้าชมสินค้าในร้านให้สูงสุด เพื่อเพิ่มยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพ


แล้ว Big Data คืออะไร นิยามเป็นอย่างไร?


big data

หากพูดตามนิยามของ Big Data คือข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีปริมาณมหาศาล มีความหลากหลาย และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากเป็นไปตามหลักการในทางทฤษฎีแล้ว จะประกอบไปด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องอาศัยเทคโนโลยีและวิธีการพิเศษในการจัดการ ซึ่งพูดง่ายๆ คือ ไม่สามารถจัดการได้ด้วยเครื่องมือหรือซอฟต์แวร์ประมวลผลข้อมูลแบบดั้งเดิม 


โดยทั่วไป Big Data มีคุณลักษณะสําคัญ 3 ประการหลักๆ

  1. Volume (ปริมาณ) : ข้อมูลมีขนาดใหญ่มาก มักมีขนาดมากกว่าระดับ Terabyte ขึ้นไป

  2. Velocity (ความเร็ว) : ข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแบบ Real-time

  3. Variety (ความหลากหลาย) : ข้อมูลมีรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งแบบมีโครงสร้าง กึ่งโครงสร้าง และไม่มีโครงสร้าง


เราจะใช้ Big Data จากไหนเพื่อมาทำ Data-Driven Marketing?


ข้อมูลภายใน


ข้อมูลภายในองค์กรถือเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่สุดสำหรับการทำ Data-Driven Marketing เนื่องจากเป็นข้อมูลที่ธุรกิจมีอยู่แล้วและสามารถเข้าถึงได้โดยตรง จะขอตัวอย่างเช่น Grab ได้ใช้ข้อมูลภายในจากแอปพลิเคชันเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการสั่งอาหารของลูกค้าและนำมาสร้างแคมเปญการตลาดแบบ Personalization


ตัวอย่างข้อมูลภายในที่นิยมนำมาใช้


  • ข้อมูลลูกค้าจากระบบ CRM เช่น ประวัติการซื้อ, ความสนใจ, พฤติกรรมการใช้งาน

  • ข้อมูลเว็บไซต์จาก Google Analytics เช่น จำนวนผู้เข้าชม, หน้าที่เข้าชมบ่อย, อัตราการคลิก

  • ข้อมูลจากแอปพลิเคชันมือถือ เช่น ความถี่ในการใช้งาน, เวลาที่ใช้งาน, ฟีเจอร์ที่ใช้บ่อย

  • ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย เช่น จำนวน Followers, Engagement Rate, เนื้อหาที่ได้รับความนิยม


ข้อมูลจากภายนอก


นอกจากข้อมูลภายในแล้ว ธุรกิจยังสามารถซื้อหรือเช่าข้อมูลจากแหล่งภายนอกเพื่อเสริมให้ข้อมูลของตัวเองสมบูรณ์ยิ่งขึ้น มี Case Study หนึ่งที่น่าสนใจคือ McDonald's ได้ใช้ข้อมูลสภาพแวดล้อม สภาพอากาศ และการจราจรในแต่ละพื้นที่เพื่อปรับเมนูและโปรโมชันให้เหมาะสมกับสถานการณ์


ตัวอย่างข้อมูลภายในที่นิยมนำมาใช้


  • ข้อมูลประชากรศาสตร์ (Demographic Data) เช่น อายุ, เพศ, รายได้, การศึกษา 

  • ข้อมูลภูมิศาสตร์ (Geographic Data) เช่น ที่อยู่, สถานที่ทำงาน

  • ข้อมูลพฤติกรรม (Behavioral Data) เช่น ความสนใจ, งานอดิเรก, ไลฟ์สไตล์


ข้อมูลจากการทำวิจัย


การทำวิจัยตลาดผ่านการสำรวจ สัมภาษณ์ หรือสังเกตพฤติกรรมลูกค้าโดยตรงก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการเก็บข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์  ตัวอย่างจาก P&G ได้ทำการวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างละเอียดเพื่อนำข้อมูลมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และแคมเปญการตลาดให้ตอบโจทย์ความต้องการมากขึ้น


ตัวอย่างข้อมูลภายในที่นิยมนำมาใช้


  • การสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า 

  • การสัมภาษณ์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย

  • การสังเกตพฤติกรรมการซื้อสินค้าในร้านค้า


 

เราจะใช้ Data-Driven Marketing เพื่อเพิ่มกำไรอย่างไร?


big data analytics

การใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางการตลาดจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ อย่างที่ทุกคนทราบกันดี หลักในการเพิ่มกำไรคือ "การเพิ่มยอดขาย และลดต้นทุน" ไม่ว่าจะทำอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทำทั้งคู่ไปพร้อมๆ กัน หากมองในมุมของการตลาด Data-Driven Marketing สามารถช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายทั้งสองประการนี้ได้


การลดต้นทุน


การลดต้นทุนด้วย Data-Driven Marketing นั้นไม่ใช่เพียงแค่การตัดงบประมาณลงอย่างไร้ทิศทาง แต่เป็นการใช้ทรัพยากรอย่างชาญฉลาด ทั้งในแง่ของบุคลากรและงบประมาณ เพื่อให้การทำการตลาดมีประสิทธิภาพสูงสุด เปรียบเสมือนการใช้เข็มทิศนำทางในมหาสมุทรของข้อมูล 


ช่วยให้เรา “พุ่งเป้าไปยังกลุ่มลูกค้าที่มีโอกาสซื้อสูง ด้วยวิธีการที่เหมาะสมที่สุด และทุ่มเทกับผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพ” การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างลึกซึ้งช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค แนวโน้มตลาด ทำให้สามารถปรับแต่งกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ ลดการสูญเสียทรัพยากรไปกับการตลาดที่ไม่ตรงเป้า


การเพิ่มยอดขาย


ในด้านการเพิ่มยอดขาย Data-Driven Marketing เป็นเสมือนกุญแจไขประตูสู่ความสำเร็จ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด เราสามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น นำไปสู่การสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจ และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้อย่างแม่นยำ 


การใช้ข้อมูลช่วยให้เราสามารถออกแบบ Customer Journey ที่ราบรื่น ลดอุปสรรคในการตัดสินใจซื้อ และเพิ่มโอกาสในการ Convert ลูกค้าในทุกขั้นตอนของ Marketing Funnel ไม่ว่าจะเป็นการสร้างการรับรู้ การกระตุ้นความสนใจ หรือการผลักดันให้เกิดการตัดสินใจซื้อ ทั้งหมดนี้นำไปสู่เป้าหมายสุดท้ายคือ “การเพิ่มยอดขาย”


การทำ Data-Driven Marketing เพื่อลดต้นทุน


การพุ่งเป้าไปยังกลุ่มลูกค้าที่มีโอกาสซื้อสูง


target audience

  • การวิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้สามารถระบุกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้า หรือบริการของคุณได้อย่างแม่นยำมากขึ้น 

  • นำข้อมูลต่างๆ เอามาใช้การแบ่งส่วนตลาด (Market Segmentation) เพื่อแบ่งกลุ่มลูกค้าตามลักษณะทางประชากรศาสตร์ พฤติกรรม และจิตวิทยา

  • วิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมการซื้อในอดีตเพื่อระบุลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อซ้ำหรือซื้อสินค้าที่เกี่ยวข้อง

  • เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจตรงกับสินค้าของเรามากที่สุด


วิธีการที่เหมาะสมที่สุด


marketing plan

  • เราสามารถใช้ข้อมูลช่วยให้คุณเลือกกลยุทธ์และช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

  • วิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดในอดีตเพื่อระบุช่องทางและรูปแบบที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด

  • ปรับแต่งข้อความทางการตลาดให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมายโดยใช้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า


ทุ่มเทกับผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพ


efficient ads marketing

  • วิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้คุณระบุสินค้าหรือบริการที่มีศักยภาพสูงสุด

  • เหมาะสำหรับทุ่มเททรัพยากรในการทำการตลาดมากที่สุด

  • ทุ่มเทไปกับสินค้าที่มีโอกาสในการสร้างยอดขาย และผลกำไรได้มากที่สุด


การทำ Data-Driven Marketing เพื่อเพิ่มยอดขาย


marketing funnel

Marketing Funnel เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราเห็นภาพรวมของกระบวนการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ตั้งแต่การรู้จักแบรนด์ไปจนถึงการตัดสินใจซื้อ การใช้ Data-Driven Marketing ในทุกขั้นตอนของ Funnel ช่วยให้เราสามารถปรับแต่งกลยุทธ์การตลาดให้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น ส่งผลให้เกิดการ Convert สูงสุดและท้ายสุดแล้วนำไปสู่การเติบโตของยอดขาย จริงๆ แล้วเราสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้หลายทาง กว้างขวาง แต่เพื่อให้มองเห็นภาพ จะขอยกตัวอย่างเพื่อให้ทุกคนเข้าใจ


  • Awareness Stage ในขั้นตอนแรกของ Funnel นี้ เปรียบเสมือนการเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยการรู้จักตัวตนของอีกฝ่าย เราสามารถใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อระบุว่ากลุ่มเป้าหมายของเราเป็นใคร มีความสนใจอะไร และอยู่ที่ไหน ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นเข็มทิศนำทางในการสร้างเนื้อหาและโฆษณาที่จะตรึงใจพวกเขา ช่วยให้เราเลือกช่องทางโฆษณาที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย 


  • Interest Stage เมื่อลูกค้าเริ่มสนใจแบรนด์ของเรา การใช้ข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์จะช่วยให้เราปรับปรุง UX/UI ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ทำให้เราสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ตรงกับความสนใจของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ของเราเข้าใจพวกเขาอย่างแท้จริง


  • Desire Stage ในขั้นตอนนี้ จะยกตัวอย่างที่เห็นได้บ่อยคือ การใช้ข้อมูลเพื่อสร้างข้อเสนอพิเศษ ส่วนลด หรือโปรโมชั่นที่น่าสนใจ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้อได้ หากจะให้ขั้นสูงขึ้นไปคือการทำ Retargeting Ads (อธิบายง่ายๆ คือ Ads ที่ไปไหนก็ตามเราไป) ดึงลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าที่เคยสนใจ ทำให้โอกาสในการปิดการขายเพิ่มสูงขึ้น


  • Action Stage เมื่อลูกค้าพร้อมที่จะซื้อ การใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงหน้าสินค้าและขั้นตอนการสั่งซื้อให้ใช้งานง่าย จะช่วยลดอุปสรรคและเพิ่ม Conversion Rate ได้ เหมือนการปูพรมแดงต้อนรับลูกค้าสู่การตัดสินใจซื้อ เช่นการใช้ข้อมูลเพื่อสร้างแคมเปญอีเมลส่งเสริมการขายในจังหวะที่เหมาะสม เช่น เมื่อลูกค้าทิ้งตะกร้าสินค้าไว้ เพื่อรอซื้อก่อนวันสำคัญ


  • Loyalty Stage ในขั้นตอนสุดท้ายของ Funnel การวิเคราะห์ข้อมูลการซื้อซ้ำจะช่วยให้เราสามารถมอบข้อเสนอพิเศษให้ลูกค้าเก่าได้อย่างเหมาะสม สร้างความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว เปรียบเสมือนการดูแลรักษามิตรภาพอันแนบแน่น ไม่ว่าจะส่งข้อมูลสินค้าที่เขาสนใจ พร้อมส่วนลดสำหรับสมาชิกที่เคยซื้อช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำได้



 


แนะนำเครื่องมือทำ Data-Driven Marketing


data from sondhana

Sondhana คือ เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาดที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจความคิดเห็นและทัศนคติของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น โดยการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามและโซเชียลมีเดียต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็น Facebook, YouTube, Instagram, Line ฯลฯ 


โดยระบบ Sondhana สามารถประมวลผลทั้งข้อความ เสียง และวิดีโอ เพื่อให้เข้าใจว่าผู้คนกำลังพูดถึงธุรกิจของคุณอย่างไรบ้าง, ลูกค้ามีความคิดเห็นต่อแบรนด์เป็นอย่างไร, ช่วยให้เราปรับปรุง Content ให้ดียิ่งขึ้นอย่างไร, รวมไปถึงจะปรับกลยุทธ์การตลาดให้ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ด้วย Data Insight จาก Sondhana ธุรกิจสามารถนำข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคมาใช้ในการทำ Data-Driven Marketing ได้หลากหลายรูปแบบ อาทิเช่น


1. Predictive Analytics สำหรับการคาดการณ์พฤติกรรมลูกค้า


  • โดยอาศัย Natural Language Processing (NLP) ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย เพื่อคาดการณ์แนวโน้มต่างๆทางการตลาด เช่น ความสนใจในผลิตภัณฑ์ใหม่ และความเสี่ยงที่ลูกค้าจะเลิกใช้บริการ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยในการวางแผนกลยุทธ์การตลาดอย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ นอกจากนี้ NLP ยังช่วยประเมินประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น TikTok, Facebook, YouTube, X, Instagram ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ช่วยให้ธุรกิจเลือกช่องทางที่เหมาะสมเพื่อลงทุนและปรับกลยุทธ์ให้ตรงกับความสนใจของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น


2. การสร้าง Customer Segmentation ที่ซับซ้อน


  • ด้วยการใช้ข้อมูลประชากรศาสตร์ และข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานแต่ละแพลตฟอร์ม มาแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างละเอียด สร้างโปรไฟล์ลูกค้าที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น "นักช้อปออนไลน์ที่ชอบซื้อสินค้าแฟชั่นในช่วงเย็นวันศุกร์" เพื่อปรับแต่งกลยุทธ์การตลาดให้เข้าถึงแต่ละกลุ่มย่อยได้ตรงจุด พร้อมทั้งช่วยในการกำหนดงบประมาณและเลือกแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการเข้าถึงกลุ่มลูกค้านั้น ๆ ได้อย่างแม่นยำ


3. ทำ Personalization Marketing


  • ด้วยการแสดงข้อเสนอหรือโปรโมชั่นที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลในเวลาที่เหมาะสม เช่นเดียวกับที่ Amazon ใช้ระบบแนะนำสินค้าแบบเรียลไทม์เมื่อลูกค้าเพิ่มสินค้าลงตะกร้า โดยระบบจะแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องและปรับให้เหมาะกับรสนิยมเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายและความพึงพอใจได้อย่างยั่งยืน


4. Content Optimization


  • โดยการวิเคราะห์ว่าคีย์เวิร์ด หรือเนื้อหาประเภทใดได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด จากนั้นจึงปรับปรุงการนำเสนอเนื้อหาให้ตรงใจ พร้อมวางแผนการผลิตคอนเทนต์และการโฆษณาที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง


 

บทสรุป

แนวโน้ม Data-Driven Marketing ในปี 2025


ในปี 2025 ที่กำลังจะมาถึง เทรนด์ Data-Driven Marketing จะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยข้อจำกัดด้าน กฏหมายนโยบายความเป็นส่วนตัวทำให้การใช้ First-party Data จะเข้ามามีบทบาทแทนที่ข้อมูลจาก Platform ต่างๆ ที่เราคุ้นเคย ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทุกคนเข้าถึงได้ และอาจถูกจำกัดการใช้งานในอนาคตอันใกล้ ดังนั้นข้อแนะนำสุดท้ายคือ อยากจะให้ทุกคนเตรียมตัว เริ่มตั้งแต่ คิดหาวิธีการในการเก็บข้อมูลโดยไม่พึงพา  Third party เพราะข้อมูลเปรียบเสมือนน้ำมันที่คอยขับเคลื่อน ถึงแม้เราจะมีเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทันสมัย แต่หากขาดข้อมูลคุณภาพดี ก็เหมือนเครื่องบินที่ไม่มีน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีพอ!

15 views0 comments

Comments


bottom of page