
มาทำให้ Inbound Marketing ของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด! ปัจจุบันลูกค้ามีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วรายวัน เพราะการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างง่ายได้ โลกได้เชื่อมลูกค้าเข้าด้วยกันผ่าน Internet ผ่าน Social Media ในวันนี้ลูกค้าอาจจะสนใจสิ่งหนึ่ง แต่ผ่านไปอีกวันกระแสความสนใจอาจจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้กำลังจะเป็นอุปสรรคสำหรับนักการตลาดที่ต้องวิเคราะห์ Insight ของพฤติกรรมอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะ สร้าง-ปรับ-เปลี่ยน กลยุทธ์ทางการตลาดอยู่เสมอ หากเราใช้วิธีแบบเดิม ๆ อาจจะไม่ทันในยุคนี้ ซึ่งเป็นยุคที่ “ความไวเป็นของปีศาจ” ในอดีตเราอาจจะใช้วิธีการทำ A/B Test เพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาด แต่วิธีนี้อาจจะไม่เหมาะสมที่จะใช้ในบางกรณีนี้แล้ว และการทำ Inbound Marketing ก็เช่นกันหากเรามัวแต่ทำการทดลองปรับไป ปรับมาโดยไม่มีหลักก็เท่ากับเราช้าแล้ว ดังนั้นบทความวันนี้เราจึงอยากจะแนะนำวิธีการนำ Data-Driven Marketing มาประยุกต์ใช้กับ Inbound Marketing เพื่อให้คุณได้กลยุทธ์ที่ได้เหมาะสมได้เร็วมากยิ่งขึ้น
Inbound Marketing คืออะไร? มาปูพื้นฐานกันก่อน

Inbound Marketing หรือเราเรียกภาษาไทยว่า “การตลาดแบบดึงดูด” เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่มุ่งเน้นการสร้างเนื้อหา หรือสร้าง Content เช่นพวกบทความ Blog ที่มีคุณค่าเพื่อดึงดูดลูกค้าเป้าหมายเข้ามาหาเรา และสนใจเรา แทนที่จะเป็นการยัดเยียดโฆษณาหรือข้อมูลขายให้กับลูกค้าโดยตรง โดยวิธีการนี้แตกต่างจาก กลยุทธ์ทางการตลาดแบบ Outbound Marketing ที่มักจะรบกวนกลุ่มลูกค้าด้วยการโฆษณาที่ไม่ได้รับการร้องขอ โดยวิธีการแบบ Inbound Marketing เป็นวิธีการนี้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคดิจิทัลที่ชอบค้นหาข้อมูลด้วยตนเองก่อนตัดสินใจซื้อ
หลักการพื้นฐาน 5 ข้อของ Inbound Marketing
1. การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า
การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าเป็นหัวใจสำคัญของ Inbound Marketing โดยเน้นการผลิตคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการและแก้ปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย เนื้อหาอาจอยู่ในรูปแบบของบทความ, วิดีโอ, พอดแคสต์, อินโฟกราฟิก หรือ E-book ที่ให้ความรู้เชิงลึกและมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน การสร้างเนื้อหาต้องคำนึงถึงคุณภาพและความต่อเนื่อง รวมถึงการปรับให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงของ Customer Journey เพื่อนำเสนอข้อมูลที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสม
2. การเพิ่มช่องทาง Engagement
การทำให้เนื้อหาของคุณเป็นที่พบเห็นได้ง่ายตาม Channel ช่องทางต่าง ๆ ของแบรนด์ เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่จะทำให้กลยุทธ์ Inbound Marketing ประสบความสำเร็จ เช่นการทำ SEO ที่ต้องมีการวิจัยคีย์เวิร์ดอย่างเข้มข้น การปรับแต่งเว็บไซต์ของเราให้เป็นมิตรกับ Search Engine กับ Social Media เพื่อขยายการเข้าถึงเนื้อหา การใช้แพลตฟอร์มที่หลากหลายและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการทำ Content Distribution หรือการทำคอนเทนต์เพื่อเผยแพร่ออกไปเน้นไปที่โปรโมตแคมเปญทางการขายโดยตรง
3. การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
การทำ Inbound Marketing จำเป็นจะต้องสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวกับผู้ติดตามและลูกค้า โดยมุ่งเน้นการสร้างความไว้วางใจผ่านการให้คุณค่าและความจริงใจว่าเราจะสร้างประโยชน์ให้กับลูกค้าของเราอย่างต่อเนื่อง การตอบสนองต่อความคิดเห็นและคำถามที่เขาสงสัย เราสามารถทำได้หลายวิธีการเช่นการสร้างชุมชน Facebook Group หรือจะเป็นการใช้ Email Marketing ตอบทุกคำถามแม้จะไม่เกี่ยวกับการขายโดยตรง แต่เป็นการทำให้ลูกค้าได้ประโยชน์จากเนื้อหาที่เราทำ ก็จะช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
4. การเปลี่ยน Engagement ให้เป็นลูกค้า
การวางกลยุทธ์เพื่อที่จะเปลี่ยนจำนวน Engagement ที่เราได้รับจากการทำ Inbound Marketing ให้กลายเป็นลูกค้า (ที่จ่ายเงินซื้อของ) ต้องอาศัยการออกแบบกลยุทธ์ผ่านทุกขั้นตอนของ Customer Journey เพราะสุดท้ายแล้วหากเรามีคนมาอ่านเนื้อหาของเราเยอะ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นลูกค้าของเราจริง ๆ ได้ก็ถือว่างบประมาณในการทำ Inbound Marketing นั้นเสียเปล่า
5. การวิเคราะห์และปรับปรุง
สิ่งที่จะช่วยให้กลยุทธ์ Inbound Marketing พัฒนาและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นั้นคือการเอาข้อมูลไปการวิเคราะห์และปรับปรุง โดยให้เราเอาตัวชี้วัดสำคัญ (KPIs) เช่น อัตราการเข้าชมเว็บไซต์ อัตราการตอบกลับ (Conversion Rate) ระยะเวลาในการอ่านเนื้อหา และพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์ และทำความเข้าใจว่าอะไรที่ได้ผลและอะไรที่ต้องปรับปรุง สุดท้ายแล้วจะช่วยให้สามารถปรับแต่งกลยุทธ์ให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้นในครั้งถัดไปที่สร้างเนื้อหาออกมา
ในยุคของข้อมูลลูกค้าของเรามีด้านใดที่เปลี่ยนแปลงบ้าง

ถ้าจะถามว่าทำไมการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์แบบ Inbound Marketing หรือจะเป็นกลยุทธ์การตลาดอื่น ๆ ถึงจำเป็นต้องปรับตัว สิ่งนี้ไม่ใช่ไม่มีหลักการมารองรับ เพราะเนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลง 2 สิ่งใหญ่ ๆ ของผู้บริโภคในยุคนี้ประกอบด้วย พฤติกรรมการบริโภคข้อมูล, วิธีการตัดสินใจซื้อที่เปลี่ยนไป จึงเกิดผลกระทบต่อการทำการตลาดที่ให้เหล่านักการตลาดต้องปรับกันยกใหญ่
พฤติกรรมการบริโภคข้อมูล
ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็วผ่านอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน
นิยมบริโภคเนื้อหาแบบสั้น กระชับ เช่น คลิปวิดีโอสั้น, เน้นดูรูปมากกว่าอ่าน
มีความต้องการข้อมูลแบบเรียลไทม์และการอัปเดตล่าสุด
ใช้โซเชียลมีเดียเป็นแหล่งข้อมูลหลักในการรับข่าวสาร
มีความสามารถในการกลั่นกรองข้อมูลและตรวจสอบแหล่งที่มามากขึ้น
การตัดสินใจซื้อที่เปลี่ยนไป
ค้นหาข้อมูลและเปรียบเทียบสินค้าออนไลน์ก่อนตัดสินใจซื้อ
อ่านรีวิวและความคิดเห็นจากผู้ใช้จริงเพื่อประกอบการตัดสินใจ
เคยชินและนิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะหลังช่วงโควิด-19
ต้องการความสะดวกรวดเร็วในการสั่งซื้อและจัดส่ง
มีความภักดีต่อแบรนด์น้อยลง พร้อมเปลี่ยนไปใช้แบรนด์ใหม่ที่ตอบโจทย์ดีกว่า
การทำ Inbound Marketing แบบดังเดิมเป็นอย่างไร

อย่างที่เราทราบกันดีในเบื้องต้นแล้วว่า Inbound Marketing คือการที่เรามุ่งเน้นการสร้างและเผยแพร่เนื้อหาที่มีคุณค่าเพื่อดึงดูดลูกค้าเป้าหมายผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่นช่องทาง บล็อก โซเชียลมีเดีย และอีเมล ความแตกต่างหลักอยู่ที่ Traditional Inbound อาศัยการคาดเดาความต้องการลูกค้าจากการสังเกตและคาดเดา โดยใช้ประสบการณ์ของทีมการตลาดเป็นหลักในการตัดสินใจว่าเนื้อหาที่เราจะสร้างนั้นคืออะไร ในขณะที่ Data-Driven Inbound ใช้ข้อมูลเชิงลึก (Insight) และเครื่องมือวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ทำให้สามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันที ลดการลองผิดลองถูก และสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจผู้บริโภคแต่ละรายมากขึ้น
วิธีการทำ Inbound Marketing แบบ Data-Driven ทำอย่างไร

หัวใจของหลักการ Inbound Marketing แบบ Data-Driven นั้นคือเป็นการนำข้อมูลและการวิเคราะห์มาใช้เพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของกลยุทธ์การตลาดแบบ Inbound โดยเราจะสามารถทำได้โดยใช้วิธีการ 6 ข้อดังต่อไปนี้
1. การเก็บรวบรวมข้อมูล
การทำ Inbound Marketing แบบ Data-Driven นั้นต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ เริ่มต้นจากการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้เครื่องมือที่หลากหลายเพื่อให้ได้ภาพรวมที่ครบถ้วนตัวอย่างเช่น Google Analytics ก็จะช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์ และใช้ระบบ CRM ช่วยจัดการและติดตามความสัมพันธ์กับลูกค้า หรือจะเป็นการใช้เครื่องมือ Social Listening ที่จะทำให้เราทราบถึงการพูดถึงแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย และการสำรวจความคิดเห็นโดยตรงจากลูกค้าช่วยให้เราเข้าใจความต้องการได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
2. การวิเคราะห์ข้อมูล
เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวิเคราะห์เพื่อค้นหาข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่า การใช้เทคนิค Data Mining ช่วยให้เราค้นพบรูปแบบและแนวโน้มที่ซ่อนอยู่ในข้อมูล การวิเคราะห์ Customer Journey ทำให้เข้าใจกระบวนการตัดสินใจของลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ข้อมูลเหล่านี้นำไปสู่การสร้าง Customer Personas ที่แม่นยำและสมจริงมากขึ้น นอกจากนี้ การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเนื้อหาและแคมเปญที่ผ่านมา ยังช่วยให้เราเรียนรู้และพัฒนาการทำงานในอนาคต
3. การสร้างกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
จากข้อมูลที่วิเคราะห์ได้ เราสามารถนำมาสร้างกลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น สร้างเนื้อหาที่ปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละบุคคลมากยิ่งขึ้น (Personalized Content) และการปรับปรุงการทำ SEO โดยใช้ข้อมูลคำค้นหาที่มีศักยภาพ (ไม่ว่าจะจำนวนคำค้นหา และการแข่งขันที่เหมาะสมกับเว็บไซต์เรา) หรือจะเป็นการใช้ Longtail Keywords แทนที่จะเอาแต่ Keywords ที่เน้นหนักไปที่ Search Volume สุดท้ายแล้วเราจะสามารถออกแบบแคมเปญที่ปรับเปลี่ยนได้ตามพฤติกรรมผู้รับ เป็นการสร้าง Dynamic Content ที่เปลี่ยนแปลงตามข้อมูลของผู้ชมได้
4. การวัดผลและปรับปรุง
สุดท้าย การวัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การตลาดประสบความสำเร็จในระยะยาว การวิเคราะห์ ROI ของทุกแคมเปญช่วยให้เราทราบว่าการลงทุนใดคุ้มค่า การค้นหาข้อมูลใหม่ ๆ จากทรัพยากรที่มี การปรับ KPI ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย และการผสมผสานระหว่างข้อมูลเชิงลึกกับประสบการณ์ของนักการตลาด จะนำไปสู่การพัฒนากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ประโยชน์ที่ได้จากการทำ Inbound Marketing โดยวิธี Data-Driven

การทำ Inbound Marketing โดยใช้วิธี Data-Driven นั้นช่วยให้นักการตลาดสามารถตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากการใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบช่วยลดการคาดเดาและการลองผิดลองถูก ทำให้สามารถสร้างเนื้อหาที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้แบรนด์สามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบเนื้อหา การเลือกช่องทางการสื่อสาร หรือการออกแบบแคมเปญให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลให้การลงทุนทำการตลาดมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากขึ้น อีกทั้งยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าผ่านการนำเสนอคุณค่าที่ตรงกับความต้องการของพวกเขาอย่างแท้จริง
บทสรุป
จากใจผู้เขียนที่ทำงานในด้านการตลาดมานานกว่า 15 ปี ผู้เขียนไปรับรู้ถึงความโหดร้ายของโลกของการตลาดนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (มากกก) หลักจากการเข้ามาของ Digital Marketing เราทำงานกันหนักยิ่งขึ้นด้วยจังหวะที่เร็วยิ่งขึ้นมาก ๆ เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน หวังว่าพลังของข้อมูลและการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ จะสามารถช่วยให้เราปรับตัวและสร้างกลยุทธ์ที่แม่นยำ ตรงใจผู้บริโภคได้มากขึ้น หวังว่าเนื้อหาวันนี้ ที่เป็นการนำเอาแนวคิด Data-Driven มาผสมผสานกับหลักการของ Inbound Marketing จะช่วยให้คุณสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่า สร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า และนำพาธุรกิจของคุณไปสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัลนี้ได้ทุกๆ คน
Commentaires